“ปีหนึ่งระเบียบเชียร์ พร้อม”
“พร้อม!”
“เอาใหม่ๆ เสียงแผ่วอย่างนี้พวกคุณจะไปทำมาหากินอะไรได้ เสียงน่ะมีไหม” หล่อนอยู่ในชุดนิสิตกลัดกระดุมถึงคอตามระเบียบการแต่งกายของมหาวิทยาลัย ร่างบางๆเดินหลังตรงหน้าเชิดอยู่หน้าแถวตอนหลายแถวที่มีนิสิตปีหนึ่งนับพันคนมาชุมนุมกันตามคำสั่ง
“ปีหนึ่งระเบียบเชียร์ พร้อม” เธอกล่าวด้วยเสียงอันดังกลบพื้นที่ชุมนุมที่เงียบกริบอีกครั้ง ด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“พร้อม!” นิสิตชั้นปีหนึ่งทุกคนตะโกนตอบรับทันทีที่สิ้นเสียงของประธานเชียร์อย่างพร้อมเพรียง
การซ้อมเชียร์กีฬามหาวิทยาลัยหรืออาจจะเป็นการรับน้องกลายๆจะมีขึ้นทุกปีโดยการควบคุมแบบเข้มจากรุ่นพี่ การซ้อมที่ผสานไปด้วยระเบียบวินัยซึ่งรุ่นพี่บอกว่าสิ่งนั้นจะทำให้น้องๆเกิดความสมานสามัคคีและรู้จักเพื่อนร่วมรุ่นมากขึ้น แต่วันชนะมองว่ามันเป็นเกมส์สนองความต้องการอยากแกล้งรุ่นน้องของพวกรุ่นพี่เสียมากกว่าหรือไม่ก็เป็นการเอาคืนแบบเมื่อตอนที่รุ่นพี่ยังเป็นรุ่นน้อง ห่วงโซ่นี้เลยกลายมาเป็นประเพณีอย่างที่เรียกกัน
“ดิฉันจะให้พวกคุณพักสิบนาที” ประธานเชียร์ยังคงกล่าวด้วยเสียงอันดังและฟังดูมีอำนาจ หล่อนเดินหลังตรงออกไปพ้นสถานที่ชุมนุม สักพักเมื่อมีการแจกน้ำและขนม เสียงของบรรดาเด็กๆเพิ่งผ่านรั้วมัธยมก็ดังขึ้นเซ็งแซ่
นิสิตปีหนึ่งทุกคนนั่งกับพื้น วันชนะยื่นมือรับขนมที่อยู่ในกรวยกระดาษจากรุ่นพี่คนหนึ่ง คุกกี้ชิ้นเล็กๆรูปหัวใจที่พูนจากปากกรวยหล่นไปนอนแน่นิ่งบนตักของคนข้างๆ หากแต่เจ้าของตักมัวแต่คุยอยู่กับเพื่อนของเขาจึงไม่ทันสังเกต
“ขอโทษครับ เอ่อ...” วันชนะสะกิดไหล่เขา
“ครับ” เขาหันมาพร้อมรอยยิ้ม นั่นทำให้วันชนะประหม่าเล็กน้อย ฟันขาวเรียงกันเป็นระเบียบกับริมฝีปากได้รูปสีชมพูธรรมชาติอย่างคนผิวพรรณดี ประกอบกับคิ้วเข้มยาวบนดวงตาสีดำขลับที่เข้ากันกับจมูกโด่งสวย ทั้งหมดนี้อยู่บนใบหน้าของเขา
“อ้อ นี่ครับ” เขารู้ความทั้งที่วันชนะยังไม่ได้กล่าวอะไรต่อ คุกกี้ชิ้นนั้นถูกยื่นให้วันชนะพร้อมคำพูดสัพยอก “อย่าทำหล่นง่ายๆอีกล่ะ...หัวใจน่ะ”
วันชนะได้แต่ยิ้มรับมา แต่กระดาษเจ้ากรรมที่ห่อเป็นกรวยดันหักครึ่งเสียนี่ คุกกี้ก็เลยพากันเทใส่ตักเขาอีกรอบ
“เฮ้ย!” เขาตกใจรีบเอามือมารอง
สุดท้ายเขาก็ช่วยเก็บคุกกี้อีกรอบใส่กรวยที่ถูกคลี่เป็นจานรอง
เหตุการณ์สงบแล้วเขาก็หันกลับไปคุยกับเพื่อนกลุ่มของเขาต่อ ไม่มีปี่มีขลุ่ยอยู่ดีๆเขาหันมาทางวันชนะแล้วถาม “นาย ชื่อไร”
“วิน” วันชนะตอบ
“เราชื่อตั้ม” เขายิ้มสดใส “ยินดีที่รู้จักนะ” เขายกมือขึ้นจับที่ไหล่ของวันชนะแล้วโยกเบาๆแบบผู้ชายทำกับเพื่อน
“นายอยู่หอในรึเปล่า” เขาถามขณะเดียวกันก็หยิบคุกกี้ของวันชนะไปกินด้วย
“อืม ตึกสี่” วันชนะตอบ
“จริงดิ นายอยู่ห้องเบอร์อะไร” เขาทำหน้าตื่นเต้น
“609” วันชนะตอบ
“จริงดิ!”
ยังไม่ทันได้ถามอะไรอีกเสียงของประธานเชียร์ก็ดังขึ้น ทุกเสียงของปีหนึ่งก็อันตรธานไปทันทีราวอัตโนมัติ การซ้อมเชียร์ก็เริ่มอีกครั้ง
วันชนะเดินลัดเลาะผ่านอาคารเรียนสอง-สามคณะจนมาโผล่ตรงทางเดินข้างๆสนามฟุตบอลในเวลาพลบค่ำ หลังจากเลิกซ้อมเชียร์เขาก็มุ่งหน้ากลับหอพักภายในมหาวิทยาลัยทันที บรรยากาศตอนนี้เหมือนฝนกำลังจะตก เพราะมองเห็นเมฆครึ้มอยู่ไม่ไกล ไม่นานลมเย็นก็พัดแรงขึ้นพัดพาเศษใบไม้และฝุ่นผงลอยคลุ้ง แต่กระนั้นในสนามก็ยังถูกกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งจับจองเล่นฟุตบอลกันอย่างไม่หวั่นต่อสภาพอากาศ
กลุ่มผู้ชายวิ่งไล่ลูกบอลกลมๆกลางสนามเป็นภาพที่ดึงดูดสายตาของวันชนะได้อยู่โข ด้วยความพึงใจในสรีระของบุรุษมาแต่พื้นเดิมซึ่งเรื่องนี้เขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นมาตั้งแต่เมื่อไรกว่าจะรู้ตัวอีกทีใจมันก็เต้นระรัวกับผู้ชายด้วยกันไปแล้ว ยิ่งตอนนี้ผู้ชายพวกนั้นต่างก็เปลือยท่อนบนเหลือเพียงกางเกงบอลขาสั้นพลิ้วลมเท่านั้น ร่างกำยำอาบด้วยเหงื่อชุ่มโชกยิ่งทำให้รู้สึกใจหวิวๆ แต่แล้วก็เกิดความรู้สึกสวนทาง
ยังไงก็คือผู้ชาย...
มาถึงสระน้ำหน้าตึกสี่ น้ำในสระเป็นสีเขียวคล้ำ กลางสระประดับด้วยใบบัวกลุ่มหนึ่งโดยปราศจากดอก ลมแรงยังพัดมาอย่างต่อเนื่อง พุ่มเฟื่องฟ้าสูงเลยหัวข้างหน้าพัดโยกตามแรงกระพือของสายลมจนในหลุดร่วงปลิวขึ้นฟ้า วันชนะรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งเพื่อไปให้ถึงใต้ถุนตึก แต่พอถึงใต้พุ่มเฟื่องฟ้าก็มีสายลมพัดมาอย่างแรงวูบหนึ่ง ทำให้ก้านแห้งๆของมันโยกตามกระแสลม บังเอิญเหลือเกินว่ามันสอดเข้าไปในคอเสื้อแล้วดีดตัวกลับเกี่ยวเอาสร้อยคอเส้นเล็กบางติดไปด้วย วันชนะสะดุ้งโหยงเพราะทีแรกนึกว่ามีคนมากระชากมันไป แต่พอเห็นสร้อยของรักพันห้อยอยู่กับกิ่งเฟื่องฟ้าข้างหน้าก็เบาใจ สร้อยคอเส้นนี้เป็นของที่คุณแม่ของเขาซื้อให้ตอนสอบเข้าเรียนที่นี่ได้ สร้อยทองสลึงหนึ่งอาจจะไม่ได้มีค่ามากแต่ล็อกเก็ตเงินที่ห้อยอยู่นั้นภายในบรรจุสิ่งสำคัญเอาไว้ มันแทนตัวคุณแม่ของเขาซึ่งบัดนี้คงจะเฝ้ามองดูลูกชายคนนี้อยู่บนสรวงสวรรค์
วันชนะเอื้อมมือคว้าสายได้แล้วแต่ลมที่โหมพัดก็พาเอาเศษผงในอากาศปลิวเข้าตา มืออีกข้างรีบยกขึ้นปิดตาโดยอัตโนมัติขณะที่อีกข้างดึงสร้อยลงมา
กิ่งไม้แห้งนั้นหักเปราะ วันชนะเสียการทรงตัวแถมซ้ำยังไปเหยียบโดนก้อนหินจนลื่น ข้อเท้าเขาพลิกจนล้ม วันชนะร้องอย่างเจ็บปวด ขยับเท้าจะลุกขึ้นก็เจ็บเกินบรรยาย มือข้างหนึ่งยังปิดตาเอาไว้ น้ำตาไหลนองเต็มหน้า ด้วยกลไกของร่างกายที่พยายามกำจัดสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกาย
“พยายามอย่าเพิ่งขยับเท้านะ” เสียงหนึ่งดังที่ข้างหูพร้อมกับวันชนะรู้สึกว่าตัวเขาถูกอุ้มขึ้นอย่างง่ายดาย
วูบหนึ่งวันชนะรู้สึกอบอุ่น อาจเพราะได้สัมผัสกับไอร้อนๆจากตัวของคนที่มาช่วย หรืออาจเพราะรับรู้ถึงกล้ามเนื้อแข็งแกร่งของเขา
“ขอบคุณครับ” วันชนะหันหน้าไปทางที่คิดว่าหน้าของคนที่อุ้มเขาอยู่จะอยู่ตรงนั้นทั้งที่ยังหลับตา
“ไม่เป็นไร พอดีตามมาเห็นเข้าน่ะ” เขาพูด ฟังน้ำเสียงคุ้นๆ “ว่าแต่นายหันหน้าไปอีกทางได้ม่ะ มันจะชนแก้มเราอยู่แล้ว”
“อ๊ะ ขอโทษทีครับ พอดีฝุ่นเข้าตา ผมมองไม่เห็น” วันชนะหันหน้าเข้าไปตามเสียง อยากแสดงให้เขาเห็นชัดๆว่าหลับตาอยู่ แล้วจมูกโด่งๆก็ปาดเข้ากับแก้มของชายปริศนาจนได้
“เฮ้ย!” เขาสะดุ้งสุดตัวจังหวะเดียวกับฟ้าร้องคำรามดังไล่จากทิศหนึ่งไปอีกทิศหนึ่ง
“อ๊า!” วันชนะรู้สึกได้ว่ามีแสงสว่างวาบหลังเปลือกตา ความขยาดในเสียงฟ้าร้องที่เป็นมาตั้งแต่เด็กถูกจุดขึ้นทันที
“เปรี้ยง!” เสียงฟ้าผ่ากังก้องบาดหูตามมาไม่ถึงนาที
“เฮ้ย!” เขาสะดุ้งอีกรอบที่โดนวันชนะงอตัวโผขึ้นมากอดไว้แน่น
ในที่สุดก็มาถึงใต้ตึก เขาจึงวางวันชนะลงอย่างนุ่มนวล
“อย่าเพิ่งขยับเท้านะ” เขาเตือน แต่ก็บ่นๆว่า “อะไรว้า โดนผู้ชายหอมแก้มแล้วยังโดนกอดอีก ฟ้าอย่าผ่าผมเลยนะ”
“อะไรนะครับ” วันชนะทวน เพราะฟังไม่ถนัด
“ยังไงก็ขอบคุณครับ” วันชนะขอบคุณเขาอีกครั้ง “ไม่ได้คุณผมอาจจะเผลอเดินตกสระไปแล้วก็ได้” ว่าพลางเอามือข้างที่ปิดตาออก พยายามจะลืมตาแต่ก็ยากเหลือเกิน
“จะโดนฟ้าผ่าตายก่อนสิไม่ว่า” เขาพูดทำนองบ่นเล่นๆเสียมากกว่าก่อนจะเดินผละไปปล่อยให้วันชนะคุยกับลมกับฝน
“มาทางนี้สิ” เขาจับคางวันชนะให้เชิดขึ้น “ลืมตานะแล้วกระพริบตาถี่ๆ”
สายน้ำเย็นๆไหลเป็นสายต่อเนื่องรินรดเพื่อให้พาเศษผงออกไป
วันชนะขอบคุณเขาอีกครั้งหลังจากพอลืมตาได้บ้างแล้ว เลยคว้าขวดน้ำมากรอกตาเองแต่ก็ดูขัดๆ
“มา ให้เราช่วย” เขาแย่งขวดน้ำกลับไป
สักพักโลกขุ่นมัวก็ค่อยๆชัดขึ้น สิ่งแรกที่เห็นคือใบหน้าของเขาคนนั้นที่อยู่ใกล้หน้าของวันชนะมากๆ ตาของเขาจ้องเข้าไปในตาของวันชนะเพราะกำลังตรวจเช็คการมองเห็นของวันชนะ
“อ้าว นายเองเหรอ” วันชนะทักพอรู้ว่าเขาคือใคร นายคนที่นั่งข้างๆเมื่อตอนซ้อมเชียร์
“เออดิ เราเอง” เขาว่า
“ว่าแต่นายไปหยุดทำอะไรที่ตรงนั้น” เขาชี้ไปที่จุดเกิดเหตุ
วันชนะจึงได้นึกขึ้นได้ว่า ในมือเขาไม่มีสร้อยเส้นนั้นอยู่ เพราะเป็นของสำคัญวันชนะเลยดันตัวลุกขึ้นแต่ลืมไปเท้าเจ็บอยู่
“โอ๊ย!” แล้วใบหน้าก็ซีดลงเมื่อรู้ว่าของรักหายไปแถมยังเจ็บตัวอีก ซวยจริงๆ
“สร้อย...นายเห็นสร้อยไหม” วันชนะบีบแขนคนตรงหน้า หน้าเบ้ออกๆร่ำๆจะร้องไห้
“ไม่นี่ เราไม่เห็น ไม่มีสร้อยแต่แรกแล้วนะ” เขาตอบพลางชะเง้อหา “บางทีอาจจะตกอยู่ตรงนั้นเดี๋ยวจะลองไปดูให้นะ” ว่าจบเขาก็วิ่งลุยฝนออกไปแต่เพราะความมืดก็ทำให้ยากที่จะมองเห็น
วันชนะได้แต่ปลง “พอเถอะ นาย เอ่อ...ช่างมันเถอะ” วันชนะยิ้มเศร้าๆให้กับน้ำใจของเขา
“เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าเรามาหาให้อีกนะเผื่อจะเจอ ตอนนี้เท้านายเป็นยังไงบ้าง” เขาถาม
“ก็ดีขึ้นแล้วล่ะ” วันชนะพูด “ขอบใจนะที่เป็นห่วง นายก็กลับได้แล้วล่ะเดี๋ยวฝนคงจะตกหนักกว่าเดิมอีก เราขึ้นไปเองได้”
พอจะลุกขึ้นเดินเท่านั้นแหล่ะความเจ็บก็กลับมายึดข้อเท้าอีกครั้งจนหน้าบูดหน้าเบี้ยว
กว่าจะมาถึงชั้นหกชั้นบนสุดได้ก็เล่นเอาทั้งสองคนเหนื่อยไม่ใช่เล่นเพราะว่าเป็นตึกเก่าจึงไม่มีลิฟต์ คนหนึ่งเจ็บเท้า ส่วนอีกคนก็พยุงคนเจ็บเท้าขึ้นมา
ถึงหน้าห้องวันชนะเคาะประตูเรียกรูมเมทสักพัก เห็นว่าไม่มีใครมาเปิดประตูจึงล้วงกุญแจออกมาแล้วไขเข้าไป
วันชนะเลยถูกพาไปนั่งพักบนเตียง
“อย่าเพิ่งลุกไปไหนล่ะ” เขาพูดแล้วก็วิ่งออกจากห้องไป