17 Apr 2016 09:13
ตอนที่ 19 : ไม่ว่านายจะรักใคร ฉันก็รักนาย.. นิยามความรักของวู๊ดและเดฟ(รีไรท์)
กัปตันวู๊ดเป็นตัวแทนกล่าวรายงานความสำเร็จจากการแข่งขัน ด้านหลังของเขาโค้ชป้อม โป้งในฐานะเจ้าของตำแหน่ง MVP ผู้เล่นทรงคุณค่า และปอกับอัครที่ได้ตำแหน่งดาวยิงสูงสุดร่วมกันยืนเรียงกัน
“นอกจากความสำเร็จของทีมแล้ว ผมขอให้ทุกคนปรบมือให้กับ นายปรเมศวร์ และนายอัครที่เป็นดาวยิงสูงสุดของรายการ ด้วยผลงานยิงประตูกันคนละ 7 ประตู” กัปต้นวู๊ดผ่ายมือไป
เสียงปรบมือก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ปอกับอัครก็ก้าวออกมาโค้งให้เสียงปรบมือ
“ที่สำคัญ ผมขอเสียงปรบมือให้กับนายเทพพร ผู้เล่นทรงคุณค่าของการแข่งขัน ด้วยผลงานยิงหกประตูและจ่ายสิบประตู โดยในเกือบทุกประตูของเรา เขาจะมีส่วนร่วมเสมอ”
เสียงปรบมือดังเสียก่อนวู๊ดจะกล่าวจบเสียอีก
โป้งก้าวออกมาแล้วโค้ง ก็เกิดเสียงเชียร์ดังก้องว่า “ไซด์โป้ง ไซด์โป้ง ไซด์โป้ง” ต่อเนื่องยาวนานจากต้นเสียงคือนายจุ้ย
โป้งไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยชูมือขึ้นตอบรับเสียงเชียร์นั้น
ในห้องเรียนโป้งต่างกับในสนามโดยสิ้นเชิง เขาทำหน้ายุ่งกับสิ่งที่อาจารย์กำลังสอน ที่หน้ายุ่งเพราะเขาฟังไม่รู้เรื่องเลย หันไปข้างๆตัว แม้จะนั่งคนละแถว โกลก็ยังทำหน้าเหมือนไม่สนใจอาจารย์เหมือนเคย แต่โป้งก็รู้ว่าฟังอยู่จากการที่เห็นเขาจดเอาปากกาเขียน วงๆแล้วก็ขีดเส้นใต้คำต่างๆเอาไว้
ถ้าเขาหัวดีสักครึ่งหนึ่งของฝีเท้าตอนเตะบอลคงดีไม่น้อย โป้งถอนหายใจ
“ขออภัยอาจารย์ผู้สอน นายฤทธา นักเรียนชั้นม.สี่ห้องหนึ่ง ติดต่อที่ห้องประชาสัมพันธ์ตอนนี้ด้วยครับ” แล้วก็ประกาศซ้ำ
โป้งหันไปมองหน้าโกล เพราะนั่นคือวู๊ดนั้นเอง
แล้วเขาก็เห็นวู๊ดเดินผ่านหน้าห้องไปอย่างรวดเร็ว
อาจารย์สอนไปได้สักครู่ เดฟก็ลุกขึ้น ขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำ
เดฟเดินฉับๆมาตามทางเดิน แต่เขายังไม่ทันไปถึงห้องประชาสัมพันธ์ เขาก็เห็นวู๊ดเดินมาในกิริยาเร่งรีบ พอเข้ามาใกล้จึงได้เห็นว่ากัปตันผู้เข้มแข็งของทีมฟุตบอลมีน้ำตาจับเกล็ดที่หางตา
เดฟจึงดึงเขาไว้ แล้วโอบกอด
“อาม่าเสียแล้วเดฟ” ในอ้อมกอดของเดฟ วู๊ดก็ปล่อยโฮออกมาจนเดฟต้องกอดให้แน่นแล้วลูบหัวปลอบโยน
วัดที่ตั้งสวดอภิธรรมอยู่ไม่ห่างจากโรงเรียน ดังนั้นนอกจากวันที่โรงเรียนเป็นเจ้าภาพแล้ว
โป้งกับโกลก็จะไปช่วยงาน ด้วยการเสริพน้ำและเตรียมของต่างๆ จนเหล่าญาติของวู๊ดชมเชย ที่โป้งทำเพราะเห็นใจวู๊ดที่เหมือนจะยังทำใจไม่ได้ ส่วนโกลก็ตามโป้งมาด้วยความรู้สึกเดียวกัน
อีกคนที่มาทุกวันคือเดฟ แม้เขามักจะตามมาที่หลังเพราะซ้อมดรัมเมเยอร์จนค่ำมืด แต่ก็ยังมาแม้จะดูเหนื่อยๆก็ตาม
“ทำไมมึงดีกับกัปตันกูจังวะเดฟ” โป้งถาม
“ก็ฉันเป็นคนประเภทช่วยใครก็ต้องช่วยให้สุด” เดฟกล่าวแล้วหันไปมองวู๊ดที่กำลังจุดธูปดอกใหญ่สำหรับเวลากลางคืน
“ฉันผ่านบ้านของวู๊ดทุกวันเลยนะ แต่ไม่เคยรู้เลยว่าไอ้ตึกแถวโทรมๆนั้นจะเป็นที่อยู่อาศัย จนกระทั้งพบว่าวู๊ดอยู่ที่นั้น มันถึงได้นึกออกว่า เออนะคนเรา มันก็ไม่ได้เป็นเหมือนเราทุกคน ฉันเริ่มรู้สึกคุณค่าของความเป็นคนมากขึ้น แล้วที่มาช่วยวู๊ด ฉันรู้สึกว่าเป็นการใช้เงินที่เป็นประโยชน์ครั้งแรก แม้จะไม่สามารถช่วยอะไรได้มาก”
“แต่ก็นั่นหละ เพราะไม่อย่างนั้นฉันก็เอาไปซื้ออะไรสุรุ่ยสุร่าย ไปเรื่อย... จัดปาร์ตี้ เชิญวงดนตรีมาเล่นที่บ้าน แต่พวกเพื่อนพวกนั้นมันก็ไม่เห็นจริงใจกับฉัน บางคนมาก็เพื่อนอนกับฉันอย่างเดียว แต่การช่วยวู๊ด อย่างน้อยมันก็ได้บุญใช่ไหมหละ”
แววตาของเดฟมีแววเอื้ออาทรอยู่
“ไม่หรอกมึงช่วยได้มากเลยหละเดฟ” โกลกล่าวแล้วตบไหล่เดฟเบาๆ
งานศพอาม่าของวู๊ดผ่านไปแล้วสองสามวัน แต่วันนี้เดฟพึ่งจะว่างจากการซ้อมดรัมเมเยอร์เพราะครูอติเห็นว่าเขาซ้อมหนักมากแล้ว ควรได้พักสักสองวันก่อนจะเดินทางไปแข่งจริงๆ ดังนั้นเมื่อกลับมาเร็ว เดฟก็เลยตัดสินใจแวะหาวู๊ดเสียหน่อย
แต่บ้านปิดเงียบ มองเข้าไปผ่านรูปที่ประตูที่ผุก็เห็นแต่ความว่างเปล่า
สงสัยจะย้ายบ้านไปแล้ว..ก็เห็นวู๊ดบอกไว้ เนื่องจากเขาอยู่คนเดียวและอาคนที่สามก็เห็นว่าจะลำบากก็เลยให้วู๊ดไปอยู่ที่บ้านด้วยกัน
เดฟถอนหายใจแล้วเดินกลับมาที่มอเตอร์ไซด์ แต่ปรากฏว่าเห็นวู๊ดยืนอยู่ข้างหลัง
“อ้าว นึกว่าไปแล้ว” เดฟกล่าว
“ก็เก็บของเสร็จแล้วหละ แต่จะย้ายไปวันอาทิตย์ เพราะห้องที่อาของฉันเตรียมให้มันทาสีใหม่พอดี กลิ่นสียังหึ่งเลย” วู๊ดตอบ
เดฟพยักหน้า แล้วกล่าว
“ไปนอนบ้านฉันก็ได้นะ บ้านฉันมีหลายห้อง มีห้องแขกด้วย บ้านที่ไม่มีอะไรเลยอย่างนี้วังเวงออก น่ากลัว”
ตอนพูดช่วงสุดท้าย เดฟหันไปมองในบ้านแล้วทำหน้าหวาดๆ
“บ้า...ฉันอยู่มาตั้งแต่เด็กไม่มีอะไรหรอก” วู๊ดหัวเราะ เป็นการหัวเราะแรกที่เดฟได้เห็นในรอบหลายวัน
“ไปเหอะ วันนี้กลับบ้านเร็วไม่รู้จะทำอะไร ไปนั่งเล่นเป็นเพื่อนกันหน่อย” เดฟคะยั้นคะยอ
วู๊ดมองหน้าเดฟก่อนจะพยักหน้า
“ไปเอาเสื้อผ้าก่อนนะ แล้วขอโทรบอกอาก่อนด้วย”
บ้านเดฟใหญ่จนน่าตกใจ สมแล้วที่เป็นบ้านของเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ของประเทศ
ห้องนอนของเดฟก็ใหญ่เสียจนน่าจะเอาทีมฟุตบอลนอนได้ทั้งทีม แถมมีทุกอย่างเหมือนกับห้องในโรงแรมชั้นนำ
“ของกินอยู่ในตู้เย็นนะ รู้สึกจะมีช๊อกโกแล็ตเบลเยี่ยมด้วย พ่อเขาพึ่งไปประชุมมาก็เลยหิ้วมาฝาก แต่ฉันไม่ค่อยชอบกินหรอก ช่วยกินหน่อยแล้วกัน” เดฟตอบแล้วก็หันไปหยิบผ้าเช็ดตัว
“อาบน้ำก่อนนะ”
วู๊ดนั่งเห็นรีโมทมียี่ห้อเดียวกับจอแอลอีดีขนาดยักษ์แบบจอโค้งทันสมัย
“เปิดทีวีนะ” วู๊ดร้องบอก
“เออ” เดฟตอบออกมา
พอเปิดก็เป็นรายการภาษาต่างประเทศ วู๊ดฟังไม่รู้เรื่องก็เลยเปลี่ยนเรื่อยๆ จนไปเจอรายการไทยก็เลยนั่งดู
สักครู่โทรศัพท์ของเดฟก็ส่งเสียง
“เดฟ โทรศัพท์” วู๊ดร้องบอก
“รับให้หน่อย แล้วถามว่าใคร บอกว่าฉันจะโทรกลับ” เดฟตอบออกมา
แต่พอวู๊ดเอามารับสาย ปรากฏว่าเขาต้องร้องออกไปอีก
“เดฟ เขาพูดภาษาอังกฤษฉันฟังไม่ออก” วู๊ดร้องขอความช่วยเหลือ
“โอเค รู้ละ เสร็จแล้ว” เดฟตอบออกมา
แล้วเขาก็เดินออกมาทั้งคาดผ้าเช็ดตัวมาผืนเดียว ร่างกายของเดฟเต็มไปด้วยมัดกล้ามที่เกิดจากการออกกำลังกาย จะว่าไปเดฟก็เคยเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลของโรงเรียน แต่เขาเลิกเล่นไปแล้วเนื่องจากปัญหาภายในทีมจนยุบทีมไปเมือปีที่แล้ว
ปัจจุบันโรงเรียนนวสาครวิทยาลัยก็เลยยังไม่มีทีมบาสเก็ตบอล แต่มีเค้ารางว่าจะตั้งใหม่ภาคการศึกษาหน้า
“Hello Mom” เดฟทักทาย “Oh he is my friend”
ประโยคนี้มองหน้าวู๊ด ทำให้รู้ว่าคนในสายถามถึงเขา
เดฟสนทนาแล้วสักครู่ ก่อนจะเอามือบังไมโครโฟนโทรศัพท์ก่อนจะพูด
“ไปอาบน้ำสิ เดี่ยวจะได้ลงไปกินข้าวกัน”
แม้เดฟจะออกปากว่าวันนี้เขาไม่ได้บอกที่บ้านว่าเขาจะกลับมากิน ก็เลยมีอาหารน้อยกว่าปกติ แต่ก็มากอยู่ดีในสายตาวู๊ดที่เคยกินกับข้าวแค่มื้อละอย่าง มากสุดก็สามอย่าง แต่นี่มากกว่าหกอย่าง
“เมื่อกี้ แม่นายเหรอ” วู๊ดถามตอนกำลังตักยำปลาดุกฟู
“ใช่..” เดฟตอบ แล้วก็ตักข้าวกิน
“แม่ของนายเป็นฝรั่งเหรอ” วู๊ดตามไปอย่างไม่ทันคิด
เดฟถึงกับวางช้อน แล้วเสยผมให้เห็นหน้าเต็มๆ
“ดูหน้าฉันนี่วู๊ด แม่คงเป็นเป็นคนจีนหรอกมั๊ง... หรือไม่ก็เกาหลี”
วู๊ดหัวเราะ
“เออ... ลืมไปเนอะ”
“แม่กับพ่อฉันแยกทางกันตอนฉันอยู่ม.สอง ที่จริงก็ควรแยกกันนานแล้วหละ เพราะก็ทะเลาะกันตลอด คือพ่อของฉันเขาเจ้าชู้น่ะ เลขงเลขาก็ฟาดเรียบ ไม่รู้มีอีหนูอยู่กี่คนข้างนอกนั่น” เดฟเล่าตอนที่กดจอยเล่นเกมฟุตบอลแข่งกับวู๊ด
“แม่ก็เลยกลับไปอยู่อเมริกา เขาเป็นสถาปนิกสาว มั่นใจในตัวเองสูงเลยไม่ค่อยแคร์พ่อฉันหรอก”
วู๊ดรับฟังแต่ก็กดจอยไปด้วย
“ก็น่าเห็นใจท่านนะ ดูสิ ไปอยู่ต่างประเทศยังโทรมาหา แสดงว่าท่านรักนายมาก”
“ก็รัก...” เดฟตอบแล้วก็ถอนหายใจ
“ยิง” เขาร้องแล้วกดจอย
“ไม่เข้าเว้ย” วู๊ดร้องบ้างในจังหวะต่อมา
“โกงนี่หว่า... ลูกนี้มันต้องเข้าสิวะ ลูกสูตร” เดฟทำหน้าผิดหวัง
“นี่นายแอบตามไอ้โกลมาเล่นออนไลน์รึเปล่าประตูถึงได้เหนียวนัก”
“ที่จริงท่านก็น่าสงสารนะ อยู่คนละประเทศกับลูก” วู๊ดกล่าวออกมาต่อจากที่คุยค้างไว้
เดฟนิ่งไปแล้วก็ถอนหายใจออกมา
“ฉันเป็นคนไล่เขาไปเองหละ” เดฟกล่าวออกมา
“เรื่องมันเกิดตอนม.สอง ฉันน่ะรู้อยู่แล้วว่าพ่อมีอีหนู เพราะได้ยินสองคนทะเลาะกันบ่อยๆเรื่องนี้จนชิน แต่แม่ฉันก็ทนแสนทนนะ ทนจนฉันแปลกใจ แต่วันหนึ่งที่โรงเรียนไฟไหม้ที่ตึกเก่าจำได้ไหม เราเลยได้กลับบ้านเร็ว” เดฟเล่า
ตอนนี้ทั้งคู่เลิกเล่นเกม แล้วเอาน้ำผลไม้ที่มีแอลกอฮอลออกมาดื่ม
“ตอนนั้นฉันก็เลยเรียกรถแท็กซี่กลับบ้าน ตอนแรกฉันกะจะเซอร์ไพรส์แม่ด้วยการแอบไปแกล้งให้ตกใจ แต่ก็หาไม่เจอ ก็เลยแอบย่องไปที่ห้องนอนของเขา แต่กลับกลายเป็นว่าฉันเป็นฝ่ายตกใจเสียเอง เพราะตอนนั้น...”
สำหรับเดฟนั่นคือภาพติดตา
เขายังจำได้แม้แต่รอยยิ้มตอนที่แอบย่องอย่างเงียบขึ้นไปถึงห้องนอนของมารดาบนชั้นสอง เขาอดหยุดหัวเราะไม่ได้ตอนตอนที่จะเปิดประตู
“Surprise M…” คำพูดของหนุ่มน้อยขาดไปแค่นั้น
ต่อหน้าต่อตาเขา มีชายคนหนึ่งร่างกายกำยำ กำลังคร่อมร่างของแม่เขาอยู่ ไม่ว่ากำลังทำอะไรก่อนหน้า เขาก็ตกใจจนผวาลุก โดยลืมไปว่าร่างกายตนเองเปลือยเปล่า หญิงสาวอีกคนที่อยู่ด้วยซึ่งอยู่ในภาพเปลือยเปล่าก็รีบวิ่งไปแอบหลังผู้ชาย
คนสวนกับเมียนั่นเอง
“David” มารดาของเขาลุกขึ้นรีบคว้าเอาผ้าห่มมาคลุมกาย
เดฟน้อยถอยหลัง เขาไม่รู้ว่าน้ำตาอาบมาเมื่อไหร่ แต่มันก็ทำให้ภาพของแม่พร่ามัวไป ทว่าภาพของมารดาผู้แสนดีในใจของเดฟย่อยยับยิ่งกว่า... มันแหลกสลายลงในทันที
“David I can explain this, I..”
“Shut up!” เดฟตะโกนส่วนออกไป
“I hate you”
แล้วเขาก็วิ่งออกมาจากห้องนั้นอย่างไม่รู้จะไปไหน
เด็กชายวิ่งออกมาจนถึงปากซอยแล้วกระโดดขึ้นรถเมล์คันแรกที่เขาเห็น จากนั้นก็นั่งไปเรื่อยๆ จนกระทั้งรถเมล์สุดสาย เขาก็นั่งสายใหม่จนสุดสายอีก
กระทั้งท้องฟ้าคลี่ม่านราตรีคลุมท้องฟ้า เดฟเดินมาเรื่อยๆจนกระทั้งได้ยินเสียงเครื่องเรือหางยาว เขาเดินไปเกาะที่ขอบราวสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา
พ่อจะมีชีวิตนอกบ้านยังไง เขาไม่เคยสนใจ แต่นี่แม่ก็เป็นไปกับเขาด้วยอย่างนั้นหรือ... แล้วจะมีอะไรในชีวิตที่เดฟจะหวังใจได้อีก.. แล้วใครกันแน่ที่รักเขา...
มองไปสายน้ำที่ไหลเอื้อยๆ แล้ววูบที่สมองสับสน เขาก็ปีนขึ้นไปบนราวสะพาน
เพียงแค่ข้ามไปแล้วทิ้งกายลงไปในสายน้ำ ทุกอย่างคงจะจบสิ้นไป
“มึงจะทำอะไร” เสียงพร้อมกับตัวที่พุ่งเข้ามาคว้าร่างเขาจนล้มไปด้วยกัน พอลุกขึ้นมาได้
“มึงจะบ้าเหรอ... นั่นมันแม่น้ำ ลงไปตายอย่างเดียวนะเว้ย” ดวงหน้าจีนที่คุ้นเคยดีกล่าวเอ็ด แต่แววตานั้นเต็มด้วยความห่วงใย
แล้วเขาก็หยุดเพราะเห็นน้ำตาของเดฟ
“ร้องไห้ทำไมเกิดอะไรขึ้น มีอะไรเดฟ” แล้วก็เอื้อมมาปาดน้ำตาให้
เดฟมองหน้าที่มีเพียงดวงตาแจ่มใสเท่านั้นที่เป็นจุดเด่น ดวงหน้านี้เคยมีแต่รอยยิ้มและความสนุกสนาน ทว่าตอนนี้ดวงตางดงามบอกเดฟว่าเขาห่วงใยเดฟ เดฟจึงกอดร่างนั้นแน่น..
“จุ้ย”เขาเรียกชื่อนั้นออกมา แล้วเริ่มต้นร้องไห้
“ผมไม่อยากอยู่แล้ว ทำไมพ่อแม่ของผมไม่รักผมเลย ทำไมหละจุ้ย ทำไมทุกคนหนีผมไปมีคนอื่น ทำไม...”
จุ้ยกอดตอบ แล้วก็ลูบหัวเพื่อนร่วมห้องเบาๆ
“เกิดอะไรขึ้นเล่าให้กูฟังสิ กูยินดีรับฟังทุกอย่าง”
“ถ้าวันนั้นไม่ได้จุ้ย เราคงไม่ได้มานั่งคุยกันตรงนี้หรอก” เดฟกล่าวแล้วอมยิ้ม เมื่อคิดถึงดวงหน้าที่สดใสและรอยยิ้มของจุ้ย
“เราคุยกันจนเผลอหลับไป จนกระทั้งมีคนผ่านมาแล้วปลุก เราสองคนก็เลยกลับบ้าน ตอนนั้นจุ้ยใช้โทรศัพท์ของฉันโทรไปบอกที่บ้าน แล้วเขาก็ตามฉันกลับบ้านด้วย แต่กลับมาก็เจอกับพายุอีกรอบ พ่อกับแม่ทะเลาะกันเรื่องที่แม่ปล่อยให้ฉันได้เห็นพฤติกรรมของเขา...”
แล้วเดฟก็ถอนหายใจ
“ตอนนั้นฉันก็เลยบอกให้จุ้ยกับไปก่อน แต่จุ้ยก็ไม่ยอมกลับ บอกว่าจะอยู่เป็นเพื่อน จนฉันต้องบอกว่าถ้านายอยู่เรื่องมันไม่จบแน่ เพราะฉันจะคุยกับพวกเขาอย่างเด็ดขาด และคงต้องคุยกันแค่สามคน จุ้ยถึงได้ยอมกลับ”
“แต่มึงต้องจำอะไรไว้อย่างนะ ถึงยังไงมึงก็ยังมีกูอยู่เสมอ กูเป็นห่วงมึงนะเว้ย อย่าคิดอะไรโง่ๆ ใครจะไม่รักมึงก็ช่างหัวประไร ช่างมัน แต่กูรักมึง เพราะมึงเป็นเพื่อนกู” จุ้ยกล่าวแล้วก็เอามือวางบนไหล่ของเดฟ
“สัญญาสิว่ามึงจะเข้มแข็ง ไม่ทำอะไรโง่ๆอีก”
“ผมสัญญา” เดฟตอบออกไป แล้วก็มองส่งจนจุ้ยเดินออกจากตัวบ้านไป
แล้วเขาก็หันไปเผชิญหน้ากับความจริง เดินเข้าไปท่ามกลางการโต้เถียง
“Cut that, both of you”เดฟตะโกนก้อง
“หลังจากนั้นฉันก็ตัดสินออกมาว่า ถ้าสองคนไม่อยากอยู่ด้วยกันก็ไม่ต้องฝืน เลิกกันไปเลยดีกว่า ส่วนฉันไล่แม่กลับอเมริกาไป เพราะฉันไม่อยากเห็นหน้าเขาอีก อย่างน้อยที่สุดก็ตอนนั้น” เดฟกล่าวแล้วยกเครื่องดื่ม ดื่มจากปากขวด
“ฉันไล่เขาไปเองนั่นหละ แต่พอผ่านไปได้สักระยะ พอเขาง้อ ฉันก็รำคาญที่สุดก็ยอมคุยด้วย แล้วเขาก็เลยโทรมาบ่อยๆอย่างที่เห็น”
วู๊ดมองหน้าเดฟ ตอนนี้ดวงตาเดฟเหม่อลอย เขาก็เลยคิดจะหาเรื่องคุยเปลี่ยนอารมณ์
“มิน่านายถึงได้รักจุ้ย”
เดฟหันมายิ้มจางๆ แล้วพยักหน้า
“ใช่... เพราะมันประทับใจ ถึงเขาจะบอกฉันว่า เขารักฉันแบบเพื่อน แต่เขาก็รักใช่ไหมล่ะ” เดฟถอนหายใจ “ฉันเป็นคนปักใจเสียด้วย”
เดฟเงียบไปครู่ใหญ่
“แต่มันก็แทบไม่มีความหวังเลยนะ ถึงฉันจะทำยังไง จุ้ยก็ไม่รักฉันอยู่ดี เพราะเขารักคนอื่น” เขากล่าวออกมาแล้วดื่มเครื่องดื่มนั้นหมดขวด
“ฉันไม่สามารถแทนที่คนคนนั้นหรอก ไม่มีทางเลย”
วู๊ดอยากจะถามว่าใคร แต่เขาก็ไม่มีโอกาส เพราะเดฟหันมามองหน้า
“นายว่าฉันมันโง่ไหม ที่รักเขาโดยที่รู้ว่าเขาไม่มีวันรักเรา”
ทั้งคู่จ้องตากัน แล้ววู๊ดก็ขยับเข้ามาใกล้ เอามือวางบนมือของเดฟ
“ไม่หรอก... สำหรับฉันขอแค่ทำให้คนที่รักมีความสุขก็พอ ฉันขอแค่นั้น แค่นั้นจริงๆ” วู๊ดกล่าว
“ฉันรักนายเดฟ ไม่ว่านายจะรักใคร ฉันก็รักนาย”
เสียงโทรทัศน์ทีเปิดค้างไว้คล้ายจะเงียบไป
ตอนนี้ทั้งคู่ได้ยินเพียงเสียงหัวใจของกันและกัน
แล้วแรงดึงดูดก็เกิดขึ้น กว่าจะรู้ตัวเดฟกับวู๊ดก็ประกบจุมพิตอย่างดูดดื่มเสียแล้ว
เดฟค่อยๆดันให้ร่างของวู๊ดเอนลงนอน
บนพื้นห้องที่ปูด้วยพรมนุ่มนิ่ม กายที่เบียดเสียดตอบสนองต่อกันด้วยความปรารถนาที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน...
ไม่ว่านายจะรักใคร ฉันก็รักนาย.. วู๊ดย้ำอยู่ในใจ