เช้าวันเดินทางก็เข้าไปเคลียร์งานที่ออฟฟิศจนจบ กลับมาบ้านแพ็คกระเป๋าแล้วตรงดิ่งไปหัวลำโพงเลย รถไฟออกสองทุ่ม ไปถึงก่อนเวลาเล็กน้อยรอรวมพลจนครบก็ไปนั่งกินเคเอฟซีฆ่าเวลาที่มีอยู่น้อยนิด แล้วก็ถึงเวลาออกเดินทาง แต่น แต่น แต๊น
รถไฟตู้นอนออกกลางคืนถึงหนองคายตอนเช้าครับ คืนแรกก็ได้เรื่องเลย การรถไฟแห่งประเทศไทยนี่แหละ ประตูที่เชื่อมโบกี้ที่ติดป้ายว่าออโต้มันพัง คืนนั้นทั้งคืนเลยได้นอนฟังเสียงประตูกระแทกไปมา เสียงโบกี้รถไฟที่กระแทกกันตึงตัง เหมือนอยู่ท่ามกลางสมรภูมิอะไรซักอย่าง ทั้งไทยทั้งฝรั่งนอนไม่หลับ พยายามหาวิธีจัดการกับประตูนรกนี่ จนสุดท้ายเราต้องยอมแพ้ และยอมรับชะตากรรม ก่อนนอนก็สั่งอาหารเช้าไปคนละเซ็ท เซ็ทละ 120 บาท เพราะคนขายบอกว่ารถดีเลย์ชัวร์ จากที่ตั้งใจจะไปหาอะไรกินตอนเช้าที่หนองคายเลยเปลี่ยนใจ สั่งอาหารไปแล้วก็รอลุ้นว่าอาหารเช้าบนรถไฟไทยจะเป็นยังงัย สรุปว่า ห่วยที่สุด เสียดาย 120 บาท ได้ไส้กรอกมา 2 ชิ้น แฮมชิ้นนึง ไข่ดาว กับน้ำส้มแฟนต้า ขนมปังทาเศษเนยอีกแผ่นนึง คิดกันเล่นๆ ต้นทุนไม่น่าจะเกิน 20 บาท เหอะๆ ก็ว่ากันไป ไปดูรูปกันดีกว่า

เด็กคนนี้เป็นลูกครึ่งอ่ะ น่ารักดี เลยถ่ายมา ช่วยให้มีอะไรจรรโลงใจขึ้นหน่อย หลังจากนอยแดกกับรถไฟไทย

ถึงแล้วครับ สถานีหนองคาย รถดีเลย์ไปร่วมสองชั่วโมง

ด่าน ตม. ฝั่งไทย

ข้ามมาลาวได้ก็หารถ สรุปว่าได้รถสามล้อเครื่อง คนขับชื่อพี่เบิ้ม เหมาทั้งวัน 500 บาท ราคาโอเคสำหรับ 3 คน ตกคนละร้อยกว่าบาทเอง พี่เค้าพาเที่ยวทั่วเวียงจันทน์ แล้วก็พาไปส่งที่ท่ารถทัวร์ที่จะต่อรถไปฮานอยครับ

หอพระแก้ว นครหลวงเวียงจันทน์ ที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต (องค์เดียวกับที่อยู่ในวัดพระแก้วบ้านเราอ่ะแหละ) สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2108 โดยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์แห่งล้านช้าง

นาคเฝ้าบันได

ดูดีๆจะเห็นว่าพระโมลีที่พระพุทธรูปหายไปหมด