สัปดาห์นี้ก็ลากอีกแล้ว.......
8.............
“ไม่เป็นอะไรแล้ว”
บุคคลผู้เพิ่งก้าวออกมาจากประตูกระจกบอกเบาๆเมื่อชายหนุ่มที่นั่งเฝ้าอยู่บนเก้าอี้ยาวหน้าห้องผุดลุกขึ้นทันทีที่เห็นเขาออกมาจากห้องฉุกเฉิน
“แผลไม่ใหญ่มาก ปลอดภัยดี แต่คงเสียเลือดมากไปหน่อย เลยยังสลบอยู่ ถ้าฟื้นก็พากลับบ้านได้เลย แต่ต้องดูอาการไปก่อนนะ ถ้าปวดหัวและก็อาเจียนหนักก็ให้พามาด่วนเลย เผื่อในหัวมีเลือดคั่ง”
ใบหน้าเคร่งเครียดผ่อนคลายลง หากแต่ก็ยังไม่วายมีริ้วรอยกังวล
“ขอบใจมากนะหมอ”
“ไม่เป็นไร มันเป็นหน้าที่”
ชายหนุ่มที่ยังอยู่ชุดเสื้อเชิ๊ตเปื้อนเลือดชะเง้อมองผ่านช่องกระจกเหมือนทำท่าจะเข้าไปยังห้องฉุกเฉิน จนนายแพทย์ที่ยืนมองอาการเหล่านั้นอยู่ข้างๆ ต้องเอ่ยปาก
“ปล่อยให้พยาบาลเขาทำงานไปก่อน เดี๋ยวถ้าน้องเขาตื่นเราจะให้ไปเรียก ส่วนนายตามมานี่ เรามีเรื่องจะคุยด้วย”
ห้องทำงานเล็กๆสว่างจ้าไปด้วยแสงไฟ บนโซฟายาวสีน้ำเงินเข้ม ร่างสูงใหญ่นั่งนิ่งสงบทอดสายตาไปยังผนังกระจกใสที่ภายนอกระยิบระยับไปด้วยแสงไฟ
ใบหน้าที่ต้องแสงไฟเพียงเสี้ยว ดูคล้ายรูปสลักหินอ่อนเนื้อดี ทั้งด้านความงามคมสันอันไร้ที่ติ และไร้ซึ่งชีวิตชีวา
นายแพทย์หนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องได้แต่ถอนใจเมื่อมองภาพนั้น
ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม.....ไม่เคยเปลี่ยน หลายปีก่อนเป็นแบบไหน ตอนนี้ก็ยังเป็นแบบนั้น
ให้ทำอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้รูปสลักกลายเป็นมนุษย์ได้เหมือนเดิม
“นายมีอะไรจะพูดกับเราหรือหมอ”
คำถามเบาๆดังขึ้นในความเงียบ ...พรตวางถ้วยกาแฟในมือลงตรงหน้าชายหนุ่มผู้เต็มไปด้วยหนวดเครา ก่อนจะเดินไปนั่งเก้าอี้ประจำของตน
“กินกาแฟก่อนสิ”
มือขาวจัดเอื้อมมาหยิบถ้วยกาแฟสีแดงเข้มขึ้นจิบ และทอดสายตาไปยังนอกผนังกระจกอีกเช่นเคย
“นายเป็นยังไงบ้างช่วงนี้ ”
พรตเริ่มคำถามหลังจากที่บรรยากาศเงียบไปพักใหญ่ อีกฝ่ายเองก็นิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะตอบเบาๆ
“ก็..สบายดี ”
“งั้นหรือ” ผู้เป็นแพทย์มองเพื่อนอย่างพินิจ “ แล้วเด็กคนนั้น มาอยู่กับนายนานแล้วหรือ”
“ยังไม่นาน แค่สองอาทิตย์”
“ นายไปเจอกันได้ไง ทำไม..มาอยู่กับนายได้”
ดวงตาคมเศร้ามองมาด้วยแววตาเหนื่อยหน่ายก่อนจะบอกเบาๆ
“ที่นายอยากจะพูดกับเราคือเรื่องนี้ใช่มั้ย”
“อืม”นายแพทย์หนุ่มรับคำ “ความจริงเราก็ไม่อยากจะพูดอะไรมาก เรารู้ว่ามันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่เราอยากจะเตือนไว้ในฐานะหมอ การทำแบบนี้อาจจะทำให้นายอาการแย่ลง ”
ไม่มีคำพูดใดๆนอกจากความเงียบ เพื่อนผู้ไร้ชีวิตชีวาก็ยังคงนิ่งเฉยราวกับเป็นรูปปั้น มีเพียงลมหายใจเบาบางและดวงตาที่ฉายแววร้าวรานๆเท่านั้นที่ยืนยันว่ายังใช่คน
เสียงอินเตอร์คอมดังขึ้นในความเงียบ พรตกดรับ เสียงแหลมของผู้หญิงดังลอดเข้ามา
“คุณหมอคะ คนไข้ฟื้นแล้วค่ะ”
ร่างสูงใหญ่บนโซฟา ลุกขึ้นและผลุนพลันก้าวออกไปในทันที เหมือนกับไม่อยากจะรับฟังอะไรอีก พรตได้แต่มองตามและถอนใจยาว
ไม่ว่ายังไง ไม่ว่าผ่านมานานเท่าไหร่ ผู้เป็นเพื่อน ก็ยังปล่อยให้อดีตกัดกินใจอยู่ไม่เว้นวาย
..................
เวลาก้าวล่วงเข้าสู่วันใหม่แล้ว หากในเมืองกรุง ท้องถนนยังสว่างไสว ร้านรวงในที่เที่ยวมีคนดื่มกินอยู่มากมาย รถยนต์ยังคงวิ่งขวักไขว่ สมกับฉายากรุงเทพไม่เคยหลับ
อาการปวดหัวหนึบเริ่มเข้ามาแทนที่ความชา ไม่ร้ายแรงจนถึงขนาดทนไม่ได้ เพราะหากได้ยาแก้ปวดสักหนึ่งเม็ดก็คงจะทุเลา
แต่อาการเพลียจากการเสียเลือด ดูจะมีพลังมากพอทำให้ตาเกือบปิด หากที่ยังฝืนข่มไม่ทำตามคำเรียกร้องของร่างกายเป็นเพราะตอนนี้ยังไม่ได้อยู่บนที่อันควร
พรายแก้วเหม่อมองแสงสว่างของไฟบนยอดเสา ในทุกครั้งที่รถวิ่งผ่านความมืดสลัวในรถก็จะถูกแสงสีส้มหม่นเข้าแทนที่ และใบหน้าของผู้นั่งหลังพวงมาลัยก็จะปรากฏชัดอยู่ในหางตา
ใบหน้าที่เคร่งขรึมเหมือนกับรูปปั้น และอาการนิ่งเฉยเงียบงัน ทำให้รู้สึกอึดอัดได้อย่างประหลาด จนไม่กล้าจะมองใบหน้านั้นให้เต็มตา
ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกอึดอัดได้ขนาดนี้ หากแต่ที่รู้สึกได้ก็คือ เขาคนนี้กำลังคิดอะไรบางอย่าง...... บางอย่างที่ทำให้ใบหน้ารกครึ้มเงียบงันจนน่ากลัว
หรืออาจเป็นเพราะคำตอบที่เขาได้รับจากการถามถึงสาเหตุที่ต้องเจ็บตัวจนถึงขั้นเลือดตกยางออกแบบนี้
“ผม....ปีนขึ้นไปติดโมบายที่กันสาด แล้ว....”
ก็คงจะใช่....เพราะตั้งแต่พูดเท่านั้น อีกฝ่ายก็เงียบมาตลอด
แสงสีของกรุงเทพเริ่มห่างหายเมื่อเลี้ยวเข้าซอยที่พัก ละอองฝนโปรยปรายลงมาเกาะอยู่ทั่วกระจก จนเมื่อรถเข้าที่จอดสนิทจึงเริ่มหนาเม็ด
ใกล้ถึงที่นอนแล้ว....เด็กหนุ่มบอกตัวเองขณะเปิดประตูรถ และพยายามจะพยุงตัวเดินไปอย่างช้าๆ
แต่ไม่กี่ก้าวโลกก็หมุนติ้วจนต้องเซไปเกาะลูกกรงเหล็ก แล้วจู่ๆก็รู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างที่อุ่นๆรัดเข้าที่เอว
เป็นแขนใหญ่ขาวจัดของเจ้าของตึกนั่นเองที่โอบเอวไว้ จากนั้นอีกฝ่ายก็พยุงกึ่งลากขึ้นบันได และใช้เวลาเพียงไม่ถึงนาทีก็พาพรายแก้วมาถึงเตียงนอน
“ถ้าปวดหัวก็เรียกนะ”
เสียงแหบห้าวบอกเบาๆในขณะจัดแจงให้เขานอน เด็กหนุ่มทำตามอย่างว่าง่ายเพราะไม่มีแรงจะค้าน จึงได้แต่นิ่งๆและหลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย.....
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ หากเสียงเม็ดฝนกระหน่ำปะทะกระจก ยังแว่วอยู่ในหู คละเคล้าไปกับเสียงฟ้าครวญคร่ำ.....
อากาศรอบตัวเย็นเยียบจน พรายแก้วต้องลืมตาขึ้นทั้งที่หัวยังมึนงงและคอแห้งผากราวกับได้กลืนทรายคั่วที่ร้อนระอุลงไป
อาการเจ็บร้าวที่หัวเกิดขึ้นเมื่อยกมือขึ้นเสยผมชุ่มเหงื่ออย่างลืมตัว และทำให้คิดเรื่องเมื่อคืน....
..เพียงแวบเดียวแท้ๆ เพียงแค่คว้าโมบายที่ปลิวหลุดมือไป ไม่นึกเลยว่าจะทำให้ตกจากหลังคาและกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตแบบนี้
ในความมืดที่มองไม่เห็นว่านาฬิกาบนหัวนอนบอกเวลากี่โมง หูยังคงได้ยินเสียงหนึ่งผสานกับเสียงเม็ดฝน
..เสียงนั้นแผ่วเบา จนแทบไม่ได้ยิน แต่ก็เหมือนเสียงจะดังมาจากที่ไหนสักแห่งที่ไม่ไกล
ที่สำคัญเสียงนั้นเหมือนคนละเมอ
ทั้งที่ยังมึนงง แต่ด้วยความสงสัย เด็กหนุ่มจึงลุกขึ้นนั่งและมองไปรอบๆ
แสงสว่างจากโคมไฟดวงเล็กๆในห้องนั่งเล่นที่ไม่ได้ไกลกัน ดึงดูดสายตาให้มองผ่านช่องว่างของผนัง..
ในความสว่างที่ทอดรัศมีไปได้ไม่ไกลเกินหนึ่งไม้บรรทัด แสงจับร่างๆหนึ่งที่ทอดเหยียดยาวลงบนกองหมอนมุมห้องจนเห็นเป็นเงาตะคุ่ม
เสี้ยวหนึ่งของใบหน้าที่ต้องแสงนั้นทำให้รู้ว่าเขาหลับ หากแต่เป็นหลับที่ทุกข์ทรมานไปด้วยฝันร้ายเพราะใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราบิดเบี้ยวทุรนทุราย
เสียงพร่ำเพ้อคร่ำครวญผสานไปกับเสียงฝน ถึงแม้จะแผ่วเบาจนจับไม่ได้ว่าพูดอะไร หากแต่ก็ทำให้รู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก
แสงสว่างวาบขึ้นบนท้องฟ้าก่อนที่สายฟ้าจะผ่าเปรี้ยงลงมา ทำให้ร่างๆนั้นสะดุ้งขึ้นสุดตัว ใบหน้าตื่นตระหนกเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ
เขานั่งนิ่งทอดสายตามองไปยังท้องฟ้ามืดสนิทอยู่พักใหญ่ ก่อนจะโถมตัวซุกใบหน้าลงทุบตีกองหมอนคนเดียวราวกับคนเสียสติ
“ทำไม..... ทำไมต้องเป็นแบบนี้...... ทำไมทุกคนต้องโชคร้ายแบบนี้ด้วย แก... เพราะแก..แกคนเดียว ไอ้สารเลว ไอ้ชั่ว แกมันไอ้ตัวโชคร้าย แกมันไอ้ตัวซวย.... ไอ้ตัวซวย”
เนิ่นนานกว่าเสียงคร่ำครวญซ้ำไปซ้ำมาจะค่อยๆจางหายไปพร้อมอาการนิ่งสงบของร่างสูงใหญ่ ฝนภายนอกยังไม่ซาเม็ด พรายแก้วเบือนหน้าไปจากภาพนั้นและทอดสายมองไปนอกหน้าต่าง
หน้าอกเจ็บปลาบเหมือนโดนมีดโกนปาดเฉือน ภาพบางอย่างที่มีส่วนคล้ายกันไหลรินมาจากก้นบึ้งของจิต ตะกอนความเจ็บปวดที่เคยสงบนิ่ง พัดปลิวขึ้นมาบาดหัวใจอีกครั้ง
.....เรื่องที่เกิดขึ้น เรื่องที่หัวแตก มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเขาเป็นต้นเหตุ
ตัวโชคร้ายไม่ใช่เขา หากแต่เป็น.
....เรา....
.................................
ฝนที่ตกกระหน่ำเกือบทั้งคืนค่อยๆหยุดลงเมื่อฟ้าสาง ภายในห้องเริ่มสว่างขึ้น หากแต่ไม่มากพอที่จะเห็นทุกอย่างได้แจ่มชัด
ท้องฟ้ายังไม่ระเรื่อไปด้วยสีแดงเหมือนอย่างที่ควรจะเป็น คงเพราะความอึมครึมจากเมฆฝนที่กระหน่ำลงมาเมื่อคืน แต่ถึงอย่างนั้นที่ปลายขอบฟ้าดวงอาทิตย์สีแดงจัดดวงเล็กก็กำลังค่อยๆไต่ขึ้นมา
เกือบทั้งคืนที่ไม่อาจข่มตานอนลงได้ คงเพราะจิตใจไม่สงบพอที่จะหลับ จึงทำได้เพียงนอนมองเม็ดฝนที่ตกกระหน่ำอยู่ในความมืด
สายฝนชุ่มเย็นตกลงสู่พื้นพสุธา ชะล้างรอยเลือดไปจนสิ้น และยังกลบเสียงทุกอย่างไว้ได้อย่างมิดชิด...
ดีแล้วที่ฝนตก ฝน...จะได้ช่วยขจัดสิ่งต่างๆที่เป็นของตัวโชคร้ายออกไปให้หมดสิ้น...
พรายแก้วเหลือบมองผ่านช่องว่างผนังกั้นห้องไปยังกองหมอนที่มุมห้องอีกฝั่ง
เสื้อขาวที่เต็มไปด้วยรอยด่างสีแดงเข้ม กองอยู่กับพื้นใกล้กับขวดเหล้าว่างเปล่า ข้างๆกันคือร่างสูงใหญ่ที่นอนเหยียดยาวอยู่เต็มพื้นที่
เด็กหนุ่มถอนใจเบาๆก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้
กลิ่นเหล้าคลุ้งอยู่ในอากาศ เนื้อตัวยังมีครบเลือดติดอยู่จางๆ ใบหน้าขาวจัดที่หนาไปด้วยเคราเป็นมันย่อง
เมื่อมองใบหน้าที่ยังคงเครียดขรึมทั้งที่ยังหลับ ความรู้สึกผิดก็แทรกซึมเข้ามาในใจอย่างห้ามไม่อยู่ จนต้องพยายามสูดหายใจเข้าออกช้าๆ เพื่อทำให้จิตใจสงบและก้มลงเก็บเสื้อที่วางกองอยู่ข้างร่างสูงใหญ่ที่นอนสงบนิ่ง
ความรู้สึกวิงเวียนหวิวๆเหมือนจะเป็นลมเกิดขึ้นเมื่อก้มตัว คงเพราะเสียเลือดไปมาก..แต่เขาก็พยายามฝืนและเก็บขวดกลิ้งเกลื่อนบนพื้นต่อเพราะคิดว่ายังไหว
แต่มือเจ้ากรรมดันอ่อนแรงขึ้นมาเฉยๆ ขวดเปล่าในมือจึงร่วงลงพื้นเสียงดัง และทำให้ร่างสูงใหญ่สะดุ้งตื่น
ดวงตาแดงก่ำที่มองมาในครั้งแรกฉายแววหงุดหงิด แล้วก็กลับเปลี่ยนเต้นระยับเหมือนกับครั้งแรกที่ได้เจอกัน แต่ในอีกไม่ถึงชั่วเสี้ยววินาทีแววตานั้นก็ดับลง กลับมาเป็นดวงตาที่เฉยชาแกมหงุดหงิดเช่นเดิม
“จะทำอะไร? ”
ผู้เป็นเจ้าของห้อง ลุกขึ้นนั่งเสยผมอย่างหงุดหงิดและเบือนหน้ามองออกไปภายนอกผนังกระจก
“เอ่อ...เสื้อเลอะเลือด.... ผม... จะเอาไปซักให้”
“หายดีแล้วหรือไง ถึงลุกขึ้นมาเดินแบบนี้? ”
เสียงนั้นห้วนจัดจนแทบจะแข็ง ทำให้พรายแก้วได้แต่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก
“ผม.....ไม่เป็นอะไรแล้วครับ”
“หัวกระแทกพื้นจนสลบเลือดไหลอาบไปนี่น่ะหรือไม่เป็นอะไร ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเลือดจะคั่งหรือเปล่า”
ใบหน้ารกครึ้มหันกลับมา คราวนี้ดวงตาแดงก่ำเหมือนจะลุกไหม้ไปด้วยเพลิง หากแต่เมื่อเห็นพรายแก้วหน้าเสีย อีกฝ่ายก็เบือนหน้าหนีและบอกด้วยเสียงที่พยายามระงับความเกรี้ยวกราดไว้
“คุณกลับไปนอนพักซะ เสื้อนี่ไม่ใช่ธุระอะไรของคุณที่จะต้องจัดการ”
“แต่... ผมไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ”
“ผมบอกให้คุณไปนอนไง”
เสียงห้าวตวาดขึ้นอย่างคนหัวเสียทำให้พรายแก้วชะงัก มือหนาใหญ่เอื้อมมากระชากเสื้อไปจากอ้อมแขน ก่อนที่เดินดิ่งไปยังถังขยะและยัดเสื้อลงไป จากนั้นก็มุ่งตรงเข้าห้องน้ำ
ปฏิกริยาของผู้เป็นเจ้าของห้องทำให้ ความรู้สึกๆหลายๆอย่างประดังเข้ามาในหัว เด็กหนุ่ม พยายามสะกดกลั้นตะกอนในใจให้สงบนิ่ง ไม่ให้ความแหลมคมราวกับมีดโกนปลิวเข้าเฉือนแฉลบหัวใจ ก่อนเดินกลับไปยังเตียงนอนเงียบๆ ทั้งที่ไม่ได้ง่วงเลยแม้แต่น้อย
แสงแดดอ่อนที่ทอทอดผ่านบานกระจกเข้ามาทำให้ต้องมองออกไปยังระเบียง
สีขาวของอะไรบางอย่างเด่นอยู่กลางพื้นระเบียง เมื่อเพ่งมอง....สิ่งนั้นคือช่อดอกไม้สีขาวดอกใหญ่ที่นอนจมน้ำที่ยังขังอยู่บนพื้น
ดอกไม้สวยๆต้องช้ำเพราะตากฝนแทนเรา
เด็กหนุ่มหันหลังกลับ ถอนใจและหลับตาลงช้า....
คงต้อง.......หาที่อยู่ใหม่แล้วสินะ
......................................
“พยากรณ์อากาศในวันนี้ ลมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดเข้ามาปกคลุมทะเลอันดามัน และประเทศไทยทำให้ด้านรับลมทางตะวันตกของประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนอง เกือบทั่วไปและมีฝนตกหนักบางแห่ง จึงขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าว ระวังอันตรายจากฝนตกหนักในระยะ 1-3 วันนี้”
เสียงพยากรณ์อากาศจากวิทยุดังแผ่วๆจากมุมห้องที่เงียบงัน ละอองฝนเล็กๆยังคงโปรยปรายอยู่ภายนอกผนังกระจกใสหลังจากที่ฝนห่าใหญ่หยุดกระหน่ำ ผู้คนภายใต้ลมสีสดใสเดินกันขวักไขว่ไปมา แต่ไม่มีใครเลยในกลุ่มนั้นที่คิดจะแวะเข้ามา
ฝนกับการค้าขาย ดูจะเป็นสิ่งที่สวนทางกัน จำนวนของลูกค้าจะแปรผันตามจำนวนฝน เพราะถ้าวันไหนฝนตกหนัก นั่นก็แปลว่าวันนั้นจะไม่ค่อยมีลูกค้า
วันนี้ก็เช่นกันที่ลูกค้าแทบจะไม่มีเลย อย่างมากก็แค่ลูกค้าเจ้าประจำรายสองราย ที่แวะเข้าซื้อเค้กแล้วก็จากไป
ก็นะ...จะทำไงได้ วันฝนตกแทบจะไม่หยุดอย่างนี้ แถมเป็นเย็นวันศุกร์ ใครๆก็กลัวที่จะติดแหงกอยู่บนท้องถนนและที่ทำงานทั้งนั้น ถ้าเลือกได้ก็ขอกลับนอนซุกตัวในผ้าห่มอุ่นที่บ้านมากกว่า...
เสียงกระดิ่งที่ติดอยู่ตรงประตูดังขึ้น เด็กหนุ่มเจ้าของร้านเงยหน้าขึ้นมองตามเสียง ก่อนขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าผู้ผลักประตูเข้ามาเป็นใคร
“ อ้าว! ไอ้แก้ว”
รอยยิ้มจางๆเป็นใบหน้าที่แตะแต้มไปด้วยละอองฝนถูกส่งมาให้แทนคำทักทาย หากแต่พัฒน์ก็ยังขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“ทำไมมาถึงที่นี่ได้วะวันนี้ “
ที่ถามก็เพราะแปลกใจ เนื่องจากที่นี่ถึงแม้จะอยู่ใกล้กับสำนักงานของพรายแก้ว แต่ก็แทบจะนับครั้งได้ที่อีกฝ่ายจะโผล่หน้ามาให้เห็นได้บ่อยๆอย่างที่ควรจะเป็น
“ก็.....ยังไม่อยากกลับห้อง ไม่รู้จะไปไหน เลยมาหาเอ็งน่ะ”
แววตาที่มองมานั้นนิ่งขรึม ให้ความรู้สึกเหมือนท้องฟ้าภายนอกร้าน ทำให้พัฒน์รู้ว่าเพื่อนกำลังอยู่ในภาวะไม่ปกตินัก
“เออ มาหเห็นหน้าบางก็ดี อยู่ใกล้กันแค่นี้ ไม่โผล่หัวมาเลยนะเอ็งน่ะ”
เด็กหนุ่มบอกในขณะที่อีกฝ่ายหยิบผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าจางขึ้นซับหยดน้ำบนหน้า เมื่อเห็นสภาพของเพื่อน เขาก็อดบ่นไม่ได้
“เปียกมาเชียว ทำไมไม่กางร่มมาวะ”
“ขี้เกียจถือ จากสำนักงานมาที่นี่ก็แป็บเดียวเอง ไม่เปียกเท่าไหร่หรอก”
“เอ๊อออออ”
คำพูดนั้น ทำให้เขาลากเสียงยาวอย่างหมั่นเขี้ยว
“ ถ้าไม่สบายมาจะสมน้ำหน้าให้”
“หัวแข็งขนาดนี้ รับรองไม่เป็นอะไรไปง่ายๆหรอก”
บอกมาอย่างนี้ พัฒน์จึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอาใจ …..ไอ้นิสัยแบบนี้นี่เองที่ไม่เคยเปลี่ยนเลย....ดื้อไม่ฟังใครไปซะทุกเรื่อง
“งั้นเอ็งกินอะไรร้อนๆหน่อย ร่างกายจะได้อุ่นขึ้น”
ตาโตๆจ้องเป๋งมายังถ้วยโกโก้ที่ยื่นให้ก่อนจะขมวดคิ้ว จนพัฒน์ต้องดุ
“กินไปเหอะน่า แค่โกโก้แก้วสองแก้ว ร้านข้าไม่เจ๊งหรอก”
“ขอบใจนะ”
อีกฝ่ายบอกเบาๆก่อนจะรับถ้วยโกโก้ไปจิบ อาการวางตัวเป็นผู้ใหญ่ค่อยๆกลับกลายเป็นเด็กเหมือนเดิม จนพัฒน์ต้องแอบอมยิ้ม
“เออ ไม่ต้องขอบจงขอบใจอะไรนักหรอก ”
บอกแล้วก็หันกลับไปเก็บของเข้าที่ หากแล้วก็ต้องชะงักและหันกลับมา เนื่องจากสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติอะไรบางอย่าง
“ หัวไปโดนอะไรมา?”
แม้จะไม่มีผ้าพันแผลให้เห็น แต่รอยผมที่แหว่งหายไปเป็นหย่อมก็ยังคงสะดุดตาจนสังเกตได้
“ก็... หัวแตกนิดหน่อย “
เสียงตอบนั้นแผ่วเบาอย่างไม่ค่อยเต็มใจจะตอบ
“รู้แล้วว่าหัวแตก แต่ไปทำอะไรมาหัวถึงแตก?”
“ฮื้อ... ไม่มีอะไรมากหรอกน่า”
อีกฝ่ายทำเสียงรำคาญ แล้วลุกเดินเข้าไปหลังร้าน แล้วจึงตะโกนออกมา
“จะต้มมาม่า เอ็งจะกินด้วยหรือเปล่าจะต้มเผื่อ”
“เออ”
พัฒน์ตอบพร้อมแยกเขี้ยวใส่ไอ้เพื่อนตัวดื้อก่อนจะถอนใจยาว
การไม่ได้พบกันในช่วงสามปี ทำให้อะไรๆของพรายแก้วเปลี่ยนไปมาก แต่ก่อนตอนยังเรียนอยู่ด้วยกัน ผู้เพื่อนเป็นคนเปิดเผย ร่าเริง และดูจะไม่ค่อยเก็บอะไรไว้ในใจ
ผิดกับตอนนี้ ที่ดูเหมือนจะมีอะไรหลายๆอย่างเก็บกดไว้อยู่ในตัว และถูกกลบเกลื่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มที่แสร้งให้คนอื่นเห็นว่าร่าเริงอยู่ตลอดเวลา
เกิดอะไรขึ้นในช่วงสองปีที่เพื่อนของเขาหายไป อะไรบางอย่างที่เขาอยากจะถาม และก็รู้ดีว่าคงไม่ได้คำตอบ
“วันนี้บีมมาหรือเปล่า”
คำถามลอยมาเบาๆเมื่อชามมาม่าถูกวางลงบนเคาน์เตอร์ เป็นผลให้พัฒน์ที่กำลังเช็ดแก้วหน้างอลง
“ไม่มาร๊อก พรุ่งนี้ที่มหา’ลัยเขามีงานรับปริญญา ปานนี้คงนั่งจัดซุ้มถ่ายรูปอยู่ละมั้ง”
“รับปริญญาเหรอ”
“เออสิ ได้หยุดเรียนตั้งหลายวัน จะมาหากันสักหน่อยเป็นไม่มี ห่วงแต่ทำกิจกรรม เฮอะ “เด็กหนุ่มบ่นงึมงำอย่างไม่พอ ก่อนจะหันมาทางพรายแก้วเมื่อนึกอะไรได้
“....เออ จริงสิ ว่าแต่เอ็งน่ะจะรับปริญญาเมื่อไหร่วะ มหา’ลัยเขากำหนดวันหรือยัง จะได้บอกไอ้พวกนั้น”
คำถามที่ถามถึงเรื่องที่เพิ่งนึกออกทำให้ฝ่ายนั้นนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะตอบออกมาเบาๆ
“คง....เกือบๆกลางปีหน้าละมั้ง แต่..ช่างมันเหอะ ไม่ต้องบอกใครหรอก ข้าว่าจะไม่รับดีกว่า”
“อ้าว ทำไมวะ”
“ก็... ไม่รู้สิ รับหรือไม่รับ ค่ามันก็เท่ากัน”
“เท่ากันยังไง ถ้าเอ็งไม่รับที่บ้านเอ็งเขาไม่ว่าเอาหรือ ลูกเรียนจบทั้งที ยังไงก็ต้องมาถ่ายรูปวันงานเก็บไว้ให้ชื่นใจบ้างสิวะ”
สีหน้าของคู่สนทนาเหมือนจะหมองลง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มให้จางๆเมื่อรู้ว่าถูกมองอยู่
“ที่บ้านคง.....ไม่มีใครมาหรอก..... แล้วอีกอย่างจะได้ไม่ต้องลางาน แถมไม่เปลืองด้วย”
พูดจบก็ก้มหน้าลงผุ้ยเส้นบะหมี่เข้าปากเหมือนต้องการจะปิดบังรอยยิ้มที่ขมขื่น พัฒน์ที่มองอาการอยู่เงียบๆจึงได้แต่พูดให้กำลังใจ
“แต่พวกข้าไปนะ ยังไงๆพวกข้าก็ไป”
“ขอบใจนะพัฒน์ แต่ไม่ต้องหรอก ข้าไม่รับดีกว่า จะได้ไม่ต้องวุ่นวาย”
“ไอ้แก้ว คิดดูให้ดีก่อน นี่มันครั้งหนึ่งในชีวิตนะ ครั้งหนึ่งที่จะไม่มีทางกลับจุดเดิมไอ้อีก ถึงเอ็งจะไม่สนใจ แต่เอ็งจะไม่ให้พวกข้าได้ถ่ายรูปกับครั้งหนึ่งในชีวิตของเอ็งเลยหรือ”
คำพูดนั้นทำให้อีกฝ่ายเงียบงันไปชั่วครู่ก่อนจะถอนใจยาว
“อือ แล้วจะลองคิดอีกที”
ก็ถือว่ามีหนทางสำเร็จไปได้กว่าครึ่งเมื่อยังไม่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เพราะสำหรับพรายแก้ว...หากลองได้ตัดสินใจแล้ว ไม่ว่ากล่อมอย่างไรก็ไม่มีทางจะสำเร็จ
คิดแล้วก็เหลือบมองเพื่อนที่ยุติการสนทนาด้วยการมองออกไปภายนอกผนังกระจก สิ่งที่ได้เห็นในตอนนี้ทำให้พัฒน์ได้แต่ถอนใจ
เรื่องนี้เป็นเพียงไม่กี่เรื่องที่พรายแก้วไม่เปลี่ยนไปจากเดิม จากที่ทุกคนในกลุ่มลงความเห็นไว้ว่าการกลับมาคราวนี้ มีอะไรหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป อะไรหลายๆอย่างที่ต้องคอยลอบสังเกตจึงจะรู้ได้
แต่ที่ชัดเจนที่สุดดูเหมือนจะเป็นแววตานิ่งขรึม ที่เผลอเมื่อไหร่ก็มักจะแสดงออกมาว่ามีบางสิ่งซ่อนเร้นอยู่ในใจ....
ภายนอกร้านค่อยๆมืดลง ยามพลบค่ำบรรยากาศช่างขมุกขมัว ท้องฟ้าสีเทามัวไม่มีร่องรอยริ้วสีของแสงยามเย็นที่งามจับตาพาดผ่านเหมือนดังทุกวัน ผู้คนเริ่มห่างหายไปจากทางเท้าสัญจร เหลือเพียงเสียงสีส้มมัวที่ทอดผ่านม่านละอองฝนเล็กๆ ลงมาจากโคมไฟบนเสาสูง
เพลงแจ๊สจากลำโพงมุมห้อง ดังแผ่วๆในความเงียบ ถึงจับไม่ได้ว่าเป็นเพลงอะไร แต่เสียงแซกโซโฟนที่คร่ำครวญและโหยไห้ก็ทำให้รู้สึกหนาวลึกเข้าไปในอก โดยที่ความอุ่นของเครื่องดื่มไม่อาจช่วยได้
ความเงียบงันของบรรยากาศทำให้รู้สึกได้ถึงความเศร้าและหดหู่ที่เข้าควบคุมจิตใจ จนแม้คนปกติก็ยังคล้อยตาม
..แล้วหากเป็นคนจิตใจอ่อนไหวล่ะ..
ใบหน้านิ่งเรียบเท้าคางเหม่อมองไปภายนอกกระจกซึ่งฝนยังพรำลงมาบางๆไม่ขาดสาย พัฒน์เหลือบมองอย่างพิจารณาโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว
....และก็เหมือนเดิม แววตาที่เหม่อมองไปภายนอกนั้นลอยไกลแสนไกล เหมือนกำลังคิดคำนึงถึงเรื่องอะไรบางอย่าง ที่ฝังตรึงอยู่ในใจ
“ ตกลงหัวเอ็งไปทำอะไรมา ถึงแตก”
คำถามที่จงใจจะดึงเพื่อนกลับสู่โลกของความจริงทำให้คนถูกถามกระพริบตาปริบก่อนจะทำหน้าหน่าย
“ถามอะไรนักหนาวะ กวนใจจริง”
“งั้นเอ็งก็บอกมาสักทีสิว่าไปทำอะไรมา จะให้ข้าถามวกวนกวนใจอยู่ทำไม”
อีกฝ่ายถอนใจเฮือกอย่างต้องการให้รู้ว่ารำคาญ ก่อนจะหันมาทำหน้ายุ่งใส่
“ก็แล้วจะรู้ไปทำไม?”
“อ้าว ถ้าเผื่อเอ็งตายไปข้าจะได้บอกคนอื่นได้ถูกว่าเอ็งเป็นอะไร”
“เออออออ...” คนถูกบังคับให้ตอบลากเสียงยาว “ ข้าตกลงมากระแทกพื้นหัวแตกสลบไปเมื่อคืนนี้ที่ระเบียงห้อง หลังจากที่พยายามปีนขึ้นไปติดโมบายที่กันสาด แค่นี้พอใจหรือยัง?”
พัฒน์พยักหน้าหงึกว่ารับทราบ แต่ก็ยังไม่วายสงสัย
“ ก็แล้วไป นึกว่าโดนใครทำร้ายมา ว่าแต่แล้วทำไมถึงต้องทำอะไรแบบนั้นด้วยวะ เอ็งไม่รู้หรือว่ามันอันตราย?”
อีกฝ่ายหยิบช้อนกับส้อมขึ้นมาทำเป็นสัญญาณให้ระงับการสนทนา พัฒน์จึงได้แต่ส่ายหน้ากับความรั้นของเพื่อนก่อนคว้าจานชามเข้าไปจัดการหลังร้าน และกลับมาพร้อมไม้ถูพื้น
“พัฒน์ ข้าอยากจะย้ายหอ เอ็งช่วยหาให้ข้าได้มั้ย?”
คำถามลอยๆที่ดังขึ้นหลังจากเงียบกันมาได้พักใหญ่คงเป็นเหตุผลหลักที่มาหา แต่สิ่งที่อยากรู้นั่นคือเพื่อนกำลังมีปัญหาอะไร พัฒน์จึงหยุดมือจากงานและหันกลับมายังเพื่อน
“ทำไมอยู่ๆถึงอยากจะย้าย?”
“ไม่มีเหตุผลอะไรหรอก แค่...อยากอยู่คนเดียว”
“แล้วตอนนี้เอ็งมีเงินพอที่จะย้ายไปอยู่ที่ใหม่แล้วหรือ ”
คำถามนั้นทำให้อีกฝ่ายนิ่งงัน ด้วยเพราะตอบไม่ถูกหรือคำพูดนั้นจี้ใจดำก็ไม่แน่ใจ แต่เมื่อเห็นว่าไม่พูดอะไรต่อพัฒน์จึงก้มหน้าถูกพื้นต่อไป
“เด็กช่วยงานลาอีกแล้วเหรอวะวันนี้”
คำถามที่ถามกลับดูเหมือนจะหาเรื่องแก้เก้อ แต่ก็ทำให้เด็กหนุ่มลอบถอนใจก่อนจะบอกเบาๆ
“เออ ลาไปตั้งแต่เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว แต่ไม่ใช่ลาป่วยหรอกนะ ลาออกไปเลยแหละ เห็นว่าได้งานใหม่เงินดีกว่า “
“แล้วนี่เอ็งต้องทำทุกอย่างคนเดียวหมดเลยหรือ?”
“เออ ยังหาคนช่วยไม่ได้น่ะ นี่อาศัยว่าอยู่ในช่วงทำทีซีสหรอกนะถึงได้ว่างมาทำได้”
“แล้วไหวหรือ? ทำทุกอย่างคนเดียวแบบนี้“
“ไม่ไหวก็ต้องไหวแหละ ทำไงได้ คนอื่นไม่ว่างนี่ ”
พูดแล้วพัฒน์ก็ก้มหน้าก้มตาเช็ดพื้นให้เสร็จเร็วๆ ในขณะที่พรายแก้วยังนั่งนิ่งเงียบอย่างใช้ความคิด
“งั้น..ข้ามาช่วยเอามั้ย?”
คำพูดนั้นทำให้พัฒน์หยุดชะงัก และมองอีกฝ่ายอย่างไม่แน่ใจ
“เมื่อกี้เอ็งว่าอะไรนะ?”
“ข้าบอกว่าข้าจะช่วยเอ็งทำงาน ”
“โอ๊ย...ไม่เอา..” เด็กหนุ่มส่ายหัวดิก หน้าเบ้...
“อ้าว ทำไมล่ะ ขาดคนอยู่ไม่ใช่เหรอ “
“มันก็ใช่! “พัฒน์ค้อนขวับ“ แต่ถ้าได้ไอ้ตัวดื้อแบบเอ็งมาทำงานด้วยนะ ข้ายอมทำงานคนเดียวดีกว่า”
“ฮูย ดูพูดเข้า ข้าออกจะเป็นเด็กดี เรียบร้อยว่านอนสอนง่าย”
“เห๊อะ ว่าแล้วงอน สอนแล้วปากฉีกจนตายล่ะสิไม่ว่า”
“แหม แต่ถึงยังไงข้าก็ยังเป็นเด็กดีนะ แล้วที่สำคัญข้าก็อยากหาอะไรช่วงเย็นกับเสาร์อาทิตย์ทำอยู่พอดี เพราะฉะนั้นให้ข้าช่วยเอ็งแหละดีแล้ว จะได้เป็นการตอบแทนที่เอ็งช่วยหอถูกๆที่ใหม่ให้ไง“
เด็กหนุ่มหันกลับมามองหน้าเพื่อนอย่างต้องการจะค้าน หากเมื่อเจอแววตาจริงจัง ก็พูดไม่ออกจึงได้แต่ถอนใจ
“ตกลงแน่ใจแล้วนะที่จะย้ายหอใหม่?”
“ชัวร์ ล้านเปอร์เซ็นต์”
“งั้นข้าจะลองถามๆให้ แล้วจะลองคุยเรื่องค่าประกันที่พักให้ด้วยว่าจะจ่ายที่หลังได้หรือเปล่า แต่เอ็งก็เตรียมหาเงินไว้บ้างแล้วกัน ส่วนเรื่องมาทำงานที่ร้าน ข้าให้เอ็งมาช่วยก็ได้แต่เอ็งต้องรับเงินค่าจ้างนะ”
“เรื่องนั้นข้าไม่สนใจหรอก ขอแค่ได้มาช่วยงานเอ็งกับหาที่อยู่ที่ใหม่ราคาถูกให้เร็วๆแค่นั้นก็พอ”
ใบหน้านั้นยิ้มกว้างสดใส หากดวงตากลับดูแห้งแล้งขัดแย้งกันอย่างประหลาด จนทำให้รู้สึกเอะใจ
“เอาหล่ะ ไหนๆก็ได้งานแล้ว งั้นเริ่มทำเลยแล้วกันนะ ”
ผู้เป็นเพื่อนบอกก่อนจะแย่งไม้ถูพื้นไปถูต่ออย่างแข็งขัน พัฒน์จึงได้แต่มองตามท่าทางนั้นด้วยรู้สึกกังขา
ต้องมีอะไรแน่ๆ....มันน่าจะมีเหตุผลอื่นนอกจากนี้....
..................................
พบกันใหม่พุธ(เอ๊ะ) .....เปลี่ยนเป็นสัปดาห์หน้าแล้วกันครับ