ขอบคุณสำหรับทุก ๆ คำแนะนำนะครับ
อยากบอกว่า...ผมเข้าใจนะ
และพยายามแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอด....ก็เลยเหนื่อยมากจริง ๆ
รายละเอียดของเรื่องราวที่เกิดขึ้น
มันมากจนผมเองยังไม่เชื่อเลยว่า....มันจะเกิดขึ้นกับผมจริง ๆ
อย่างที่เล่าไว้น่ะครับว่า
ช่วงที่เกิดเหตุ ผลไม่คิดจะมีชีวิตแบบเกย์ ๆ แล้วนะครับ
ไม่ได้รังเกียจ แต่คิดว่า มันไม่ใช่ทางที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขได้จริง ๆ
ตอนนั้น ผมคิดว่า แค่มีเพื่อน เป็นเพื่อนชายหญิงหรืออะไรก็ตาม
ที่เป็นเพื่อนที่จริงใจ ไม่มีเรื่องบนเตียงมาเกี่ยวข้อง
มันจะเติมเต็มชีวิตได้มากกว่า
แม้จะไม่ได้สมบูรณ์แบบชายหญิงทั่วไป
แต่เราก็ไม่ต้องทำให้ใครเจ็บ หรือเราเองก็ไม่ต้องเจ็บเพราะใคร
ช่วงที่ผมเริ่มคุยกับเพื่อนคนนี้
ผมเองก็บอกแนวทางนี้ไว้ชัดมาก
ตลอดเวลาที่คุยกัน เราก็คุยกันแบบเปิดใจ จริงใจ ให้กำลังใจกัน
แบบไม่มีเรื่องเพศมาเกี่ยวข้อง
ตอนที่เค้าเล่าให้ผมฟัง
ถึงเรื่องที่เค้าสุ่มเสี่ยงมาเที่ยวซาวน่าสองหนในกรุงเทพ
และประสบการณ์ one night stand
ผมรู้สึกห่วงเค้ามาก รู้สึกว่า เพราะคุณไม่มีเพื่อนแบบนี้เลย
คุณก็เลยพลาดพลั้งไปทำอะไร ๆ โดยลืิมคิดถึงอนาคต
เค้าค่อนข้างเสียใจกับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นและพยายามที่จะหยุด
พอผมได้ยินความตั้งใจนั้น
ผมเลยตัดสินใจว่า ไหน ๆ เราคุยว่าจะเป็นเพื่อนแท้ต่อกัน
ผมก็จะยอมทุ่มชีวิตช่วยเพื่อนคนเดียวในชีวิตของผมคนนี้
ผมเปิดเผยตัวให้เค้ารู้จัก ซึ่งมันเสี่ยงกับชื่อเสียงการงานที่ผมทำมามาก
ผมเดินทางไปหา เพื่อจะคุยกันว่า ปมในใจเค้าคืออะไร อะไรที่ทำให้เค้าทุกข์มาก และผมจะช่วยอะไรได้บ้าง
ผมคิดไว้ว่า ถ้าการเสี่ยงที่ผ่านมาของเค้า (ตอนนั้นผมเข้าใจว่าเค้าอ่อนต่อโลก) ทำให้เค้าเป็นโรคร้าย
ผมก็จะดูแลเพื่อนคนนี้ให้ดีที่สุด จะไม่ทอดทิ้งเลย
โลกผมมีแต่ดอกลาเวนเดอร์ (เฮ้อ....) แต่ผมคิดแบบนั้นจริง ๆ
และผมเป็นคนที่พูดจริงทำจริงมาตลอด (ผมไม่เด็กแล้วนาจา)
.....
เรื่องคืนวันแรกที่มีอะไรกัน
เรื่องนี้ ผมอธิบายได้
คือ ตลอดเวลาที่คุยกัน เค้าพูดจาดี ดูเป็นคนดีเลย
ประกอบกับเรื่องการเรียน เรื่องรักพ่อแม่ เรื่องการเข้าวัดปฏิบัติจริงจัง นั่งสมาธิเป็นชั่วโมง ๆ
คนที่ห่างวัดอย่างผม พอได้ฟังก็เชื่อว่า เค้าคงเป็นคนดีที่กำลังหลงทาง เพราะไม่มีเพื่อนแบบนี้เลย
การที่ผมยอมมีอะไรกับเค้าในคืนนั้น
จริงอยู่ว่า ถ้าไม่ยอมเลยก็คงไม่มีอะไรเกิดขี้น
แต่ตอนนั้น เป็นเวลาดึกมาก หลังสี่ทุ่ม ในจังหวัดที่ผมไม่เคยไปมาก่อน
ผมไม่รู้ว่า ถ้าไม่มีอะไรด้วย แล้วผมจะผละออกจากตรงนั้นยังไง
ในขณะเดียวกัน เท่าที่รู้จัก เค้าก็ดีพอที่ผมจะนับเป็นเพื่อนแท้ไปแล้ว
ผมเลยยอมเสี่ยง เพราะคิดว่า มันคงเป็นสิ่งหนึ่งในการเป็นเพื่อนของเรา
ผมสารภาพตามตรงว่า ในใจชอบเพื่อนคนนี้ไหม ผมตอบได้ว่าชอบ
แต่ภาวะทางร่างกายของผมตอนนั้น ผมแทบไม่มีอารมณ์ทางเพศแล้ว
เพราะอายุ และผมกินยาเรื่องเส้นผม (การแข็งตัวและน้ำก็แทบไม่มีแล้ว)
เพราะฉะนั้น มันจึงไม่ใช่ความใคร่ที่อยากเดินทางไปมีเซ็กส์กัน มันไม่ใช่จริง ๆ
แต่นั้นไม่ได้น่าตกใจมากนักเมื่อเทียบกับความเปลี่ยนแปลงของเค้าหลังจากนั้น
คนที่ดูสุภาพ นิ่ง ๆ สบาย ๆ กลายเป็นคนอื่น ที่เฉยชา หน้าบูดบึ้ง
เหมือนก่อกำแพงหนา ๆ สูง ๆ ที่เข้าไม่ถึงอีกต่อไป
เฟสบุ้คที่ผมเคยเห็นว่ามีเพื่อนน้อยมาก มีคนเม้นท์น้อยมาก มีแต่เรื่องธรรมะ ไปวัด นั่งสมาธิ การเรียน
กลายเป็นเฟสที่มีการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวเอาไว้ (ข้างในเฟสเป็นเรื่องอื่น ๆ ปกติแบบคนทั่วไป)
ประสบการณ์ที่เค้าเล่าให้ผมฟังหลังจากคืนนั้น
ทำให้ผมรู้ว่า เค้าไม่ได้ใสซื่อ อ่อนต่อโลก อย่างที่ผมคิด
เค้ามีเครืิอข่ายเพื่อนเซ็กส์ในมหาลัย (และผมมารู้ทีหลังอีกว่่า มีที่อื่น ๆ อีก)
สิ่งที่ทำให้ผมเสียใจมาก คงเป็นเรื่องที่ผมเชื่อใจ ไว้ใจ คนมากเกินไป ง่ายเกินไป
การกระโจนออกจากพื้นที่ที่ปลอดภัยของตัวเองเพื่อจะช่วยคน ๆ นึง
กลายเป็นความอ่อนต่อโลกของตัวเองที่ไม่น่าให้อภัย
เมื่อความเชื่อถือในมนุษย์ในสูญสิ้น
ชีวิตมันจึงเดินต่อได้ยากมากครับ
(อย่าลืมว่า ผมเคยโดนมาแล้ว และกว่าจะฟื้นตัวลุกขึ้นยืนได้ มันใช้เวลานานมาก
ที่หนักกว่านั้น ผมเองมีปมในครอบครัว เรื่องพ่อที่ดูเหมือนไม่รักแม่ และพ่อดูเหมือนไม่รักผม
มันเป็นปมซ้อนปม ซึ่งถ้าใครที่ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้ อาจเดาไม่ได้ว่า การถูกคนที่เราไว้ใจหลอก มันเจ็บปวดขนาดไหน)
ตอนนั้น
ผมไม่อยากสูญเสียเพื่อน และความเชื่่อใจในมนุษย์ไป
ผมจึงพยายามยื้อ
ไม่อยากโกรธเกลียดกัน
ขอแค่เป็นเพื่อนกัน ดีต่อกัน
และเมื่อถึงจุดหนึ่ง เมื่อผมแข็งแรงขึ้น
ผมก็พร้อมจะยินดีที่เค้าจะได้พบเจอคนที่ดีและมีชีวิตทีีดี
แต่สิ่งที่ผมพบเจอหลังจากนั้น
มันเป็นมหากาพย์ครับ
เพื่อนที่ดูร้ายก็กลับมาดี แล้วก็ร้าย แล้วก็ดี จนผมรู้สึกว่า ตัวจริงของเค้าคือร่างไหน
หลายครั้งที่ผมบอกเค้าว่า
ถ้าไม่พร้อมก็อย่าเป็นเพื่อนกันต่อเลย
แต่เค้าก็ยืนยันว่าเราควรจะเป็นเพื่อนกันต่อ
เพราะถ้าผมไม่มีเค้าแนะนำ ผมคงรอดได้ยาก
แต่ในการยินดีเป็นเพื่อน สิ่งที่เขาปฏิบัติก็ยังคงเฉยชาและมีกำแพงกับผมไม่เหมือนตอนแรก ๆ ที่คุยกัน
คือ ผมงงมากกับชีวิต
เสียศูนย์
ไม่รู้ว่า...สิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร
ตัวผมทำอะไรผิด
และทำเรื่องเลวร้ายอะไรให้เขา เขาจึงทำกับผมแบบนี้
นั่นคือเหตุการณ์ในช่วงไม่กี่เดือนหลังจากคืนนั้นนะครับ
มันยังมีเรื่องเกิดขึ้นหนักขึ้น ๆ ด้วยนิสัยที่มาคนละขั้วจริง ๆ
คำว่า เจ้ากรรมนายเวร ปรากฏชัดในใจผมเลย
เพราะลึก ๆ เราไม่ได้เกลียดกัน
แต่ด้วยนิสัย คนนึงเย็นชา ปิดกั้นสุด ๆ มีปัญหาอะไร หลับตาเข้าสมาธิหนีได้หมด
ส่วนอีกคนลุยสุด ๆ ไม่หยุด ถ้าไม่เคลียร์
.....
บางคนอาจว่าผมโง่
ซึ่งก็โง่จริง ๆ
แต่ผมดำเนินชีวิตต่อได้ยาก
เพราะหลังจากเหตุการณ์นั้น
ผมก็ยากที่จะเปิดใจมีเพื่อนใหม่ ๆ (แค่เพื่อนยังยากเลยครับ)
ผมมองว่า ถ้าคนที่ก่อปัญหาทั้งสองคน ไม่ช่วยกันแก้ปัญหา
มันก็จะคาไปแบบนี้ ตลอดชีวิตผม
ผมเองพยายามเจริญสติ
ที่บอกว่าหนักคือราวสองชั่วโมงต่อวันทุกวัน
ไม่รวมการไปปฏิบัติที่วัด วันละเกือบ 10 ชั่วโมง ปีละหลายครั้งมาก
มันดีขึ้น แต่เมื่อเผลอมันก็แว้บกลับมา
จากชีวิตที่พอจะยืนได้
กลายมาเป็นเหมือนคนป่วยที่รอหมอมาเยียวยา
(การที่วันนี้ ผมยังมีชีวิตอยู่ได้ เริ่มลุกยืนอีกครั้ง
และพยายามจะฟื้นชีวิตตัวเองให้กลับคืนมา ผมว่า ผมก็สตรองต์พอสมควรแล้วนะครับ)
ผมไม่เห็นด้วยนะครับ
กับเกย์ที่ไม่แสดงออก หาคนที่ไม่แสดงออกเหมือนกัน เพื่อจะได้ปกปิดความลับของตัวเอง
ถ้าทั้งสองฝ่ายเอาแค่เรื่องเซ็กส์ อันนี้ผมเฉย ๆ ไม่ว่ากัน
แต่การได้คุยกันเป็นอย่างดีจนเป็นเพื่อนกัน
ครั้นพอเจอกัน รู้สึกไม่ถูกใจ ก็เททันที
ผมว่ามันไม่ใช่
เพราะอย่าลืมว่า คนอีกคน นั่นก็คน
เพื่อนผมคนนี้เคยบอกผมว่าหลังจากมีปัญหากันแล้วว่า
เซ็กส์ก็เหมือนการกินข้าว อยากกินอะไรก็กิน
ผมฟังแล้วผมก็อึ้งไป
ถ้าคนอื่นพูด ผมคงเฉย ๆ
แต่ผมคงติดกับภาพความเป็นอาจารย์ ความธรรมะธัมโม ที่ได้สัมผัสในตอนแรก
ซึ่งต่อมา ผมก็คิดได้ว่่า มันไม่เหมือนการกินข้าวหรอก
เพราะถ้ามันเหมือน คุณจะกล้าบอกทุกคนว่าคุณกินอะไร
แต่คุณปิดทุกอย่างเกี่ยวกับความเป็นเกย์และอาหารการกินของคุณ
มีแต่รูปวัด รูปคำสอนของพระ เพจการออกกำลังกาย
ขอโทษที่ยาวครับ
แต่ก็ขอบคุณทุก ๆ ความเห็นนะครับ
ผมเชื่อว่า ถ้าคุณไม่รักก็คงไม่เตืิอนสติผม
